บทที่ 4

หลังจากด่าจบ มิณท์รัตน์ก็วางสายทันที

พงษ์โทรกลับมาอีก เธอก็ไม่รับแล้ว และยังลบและบล็อกเขาโดยตรง

เมื่อผู้ชายคนนั้นโทรหาไม่ติด ก็เริ่มส่งข้อความหาเธอ

โทรศัพท์ของมิณท์รัตน์ดังติ๊งต่องๆ ไม่หยุด เธอไม่สนใจ เปลี่ยนเป็นโหมดเงียบ โลกทั้งใบก็เงียบสงบลงทันที

โลกของเธอเงียบสงบแล้ว แต่ในขณะนี้ตระกูลศรีวรรณกลับกำลังเผชิญกับพายุลูกใหญ่

แคมป์และจันทร์จรีเพิ่งพาตัวศุภมณีกลับมาจากโรงพยาบาลเมื่อเช้า พอกลับมาถึงก็พบว่าแจกันโบราณที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นหายไป

จันทร์จรีอาละวาดทันที “ป้าน้ำ ป้าน้ำ!”

แม่บ้านที่ชื่อป้าน้ำรีบร้อนวิ่งออกมา “คุณผู้หญิง เกิดอะไรขึ้นคะ”

“แจกันเหมยผิงเตาเผารู่สมัยซ่งของฉันล่ะ” จันทร์จรีชี้ไปที่ชั้นวางที่ว่างเปล่าด้วยน้ำเสียงแหลมเสียดหู

ป้าน้ำตัวสั่นเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่เอาไปแล้วค่ะ!”

จันทร์จรีชะงักไป “อะ...อะไรนะ”

แคมป์ทำหน้าเย็นชา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“เมื่อวานคุณหนูใหญ่กลับมาครั้งหนึ่ง เก็บของไปเยอะมาก แล้วก็ไปเลยค่ะ” ป้าน้ำตอบตามความจริง

ศุภมณีตกใจ “พี่เขาไปจริงๆ เหรอคะ ไม่ได้กลับมาอีกเลยเหรอ”

“ค่ะ”

ศุภมณีเม้มปากแน่น พงษ์เป็นอะไรกันแน่ เขาไม่ได้บอกเหรอว่าจะต้องให้มิณท์รัตน์กลับมาขอโทษตัวเองให้ได้

ผลสุดท้ายตอนนี้คนก็ไปแล้วไม่พอ ยังเอาของเก่าแก่มีค่าในบ้านไปจนหมดอีก

แม่เคยบอกไว้แล้วว่า ถ้าเธอแต่งงานออกไป ของพวกนั้นจะให้เป็นสินสอดเพื่อไว้เชิดหน้าชูตา! จะให้มิณท์รัตน์นังสารเลวนั่นได้ไปง่ายๆ ได้ยังไง!

“คุณแม่คะ พี่เขายังโกรธหนูอยู่ เลยหนีออกจากบ้านไปใช่ไหมคะ” ศุภมณีลดสายตาลงเพื่อซ่อนแววตาเคียดแค้น แล้วเปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้าสร้อยโผเข้ากอดจันทร์จรี “ทำยังไงดีคะ เรารีบไปตามพี่เขากลับมากันเถอะค่ะ!”

แคมป์โกรธจัด “ตามอะไรกัน! ถ้ากล้าไป ก็ไม่ต้องกลับมาอีกเลยทั้งชาติ! ถ้ารู้ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ ตั้งแต่แรกก็ไม่ควรรับกลับมา! หน้าตาของตระกูลศรีวรรณ ถูกนางทำให้ขายหน้าจนหมดสิ้น!”

“ไม่ได้ ฉันจะขึ้นไปดูว่านางเอาอะไรไปบ้าง!” จันทร์จรีโวยวายแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน

ศุภมณีรีบตามขึ้นไป คอยเติมเชื้อไฟอยู่ข้างๆ “แม่คะ ครั้งนี้พี่เขาตั้งใจหนีออกจากบ้านจริงๆ ต้องเอาของดีๆ ในบ้านไปไม่น้อยแน่เลยค่ะ เมื่อก่อนตอนอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็ไม่เคยเห็นของพวกนั้น ถ้าเกิดว่าเอาไปขายราคาถูกๆ เพื่อความอยู่รอดล่ะก็...”

จันทร์จรีโกรธจนกรีดร้องออกมาทันที “นางกล้าดี! นังโง่ที่มองการณ์ใกล้ ของพวกนั้นเป็นของเก่าแก่ล้ำค่าทั้งนั้นนะ! ถ้านางกล้าเอาไปขายส่งเดช ฉันจะหักขานางทิ้ง”

ขณะที่กำลังโวยวาย จันทร์จรีก็ผลักประตูห้องของมิณท์รัตน์เข้าไป

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่ห้องของมิณท์รัตน์ ต่างจากห้องของศุภมณีที่สว่าง กว้างขวาง และตกแต่งอย่างปราณีต ห้องนี้เล็กมาก เล็กจนแค่เตียงหนึ่งหลังกับตู้เสื้อผ้าหนึ่งตู้ก็เต็มทั้งห้องแล้ว

สู้ห้องคนใช้ยังไม่ได้เลย!

นี่มัน... เหมือนจะเป็นห้องเก็บของของบ้านนี่นา

แล้วมันกลายมาเป็นห้องของมิณท์รัตน์ได้ยังไงกัน!

จันทร์จรียืนอยู่ที่ประตู มองห้องที่ว่างเปล่าอย่างตกตะลึง ไม่รู้ทำไม ในใจถึงรู้สึกโหวงๆ ไปด้วย

ศุภมณีที่อยู่ข้างๆ เห็นสีหน้าของเธอไม่ดี ในใจก็ร้อนรน รีบเข้าไปกอดแขนของจันทร์จรี

“แม่คะ พี่เขาไปจริงๆ ด้วย เขาต้องยังเกลียดหนูที่มาแย่งตำแหน่งของเขาไปแน่ๆ ไม่อย่างนั้นหนูไปเองดีกว่านะคะ แบบนี้พี่เขาก็จะได้ไม่บาดหมางกับคุณพ่อคุณแม่”

เธอจะยอมให้มิณท์รัตน์มีอิทธิพลต่อใครในตระกูลศรีวรรณไม่ได้เด็ดขาด เธอต่างหากคือลูกสาวคนเดียวของตระกูลศรีวรรณ

มิณท์รัตน์คิดจะมาแย่งกับเธอ ฝันไปเถอะ!

เป็นอย่างที่คิด พอได้ยินเช่นนี้ ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยในใจของจันทร์จรีก็หายไปในทันที

เธอลูบหัวของศุภมณีอย่างเอ็นดู “นางมันเห็นแก่ตัว ไม่เกี่ยวกับลูกเลย ลูกน่ะ ก็เพราะจิตใจดีเกินไป รู้ความเกินไป ถึงได้โดนนางรังแก”

“แม่คะ หนูมีคุณพ่อคุณแม่คอยรักคอยสอน การเป็นเด็กดีก็เป็นเรื่องที่ควรทำอยู่แล้ว ไม่เหมือนพี่เขา ที่โตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เล็ก อาจจะชินกับการแย่งของกับคนอื่นล่ะมั้งคะ คุณแม่วางใจนะคะ ถ้าพี่เขากลับมาแล้ว หนูจะค่อยๆ สอนเขา ให้เขาเชื่อฟังคำพูดของคุณแม่ กตัญญูต่อคุณพ่อคุณแม่เหมือนหนูเองค่ะ” ศุภมณีทำหน้าใจกว้าง

จันทร์จรีพอได้ยินคำว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็รู้สึกหงุดหงิด ประสบการณ์การเติบโตของมิณท์รัตน์เป็นเหมือนหนามที่ทิ่มแทงในใจเธอ คอยย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาถึงความบกพร่องในหน้าที่ของคนเป็นแม่อย่างเธอ

เธอแค่นเสียงอย่างรำคาญ “ช่างเถอะ คนแบบนางสันดานมันเห็นแก่ตัว สอนยังไงก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ต้องไปสนใจนางแล้ว นางไปก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าให้รำคาญใจ!”

ศุภมณีดีใจขึ้นมาในใจ ควงแขนจันทร์จรีแล้วพูดอย่างเอาใจ “คุณแม่ อย่าหงุดหงิดไปเลยนะคะ เราลงไปทานข้าวกันก่อนเถอะค่ะ หนูให้ป้าน้ำตุ๋นซุปบำรุงประสาทไว้ให้คุณแม่แล้ว คุณแม่ดื่มเยอะๆ นะคะ”

จันทร์จรีมีสีหน้าปลื้มใจขึ้นมาทันที “ยังไงลูกรักของแม่ก็ใส่ใจที่สุด ไม่เหมือนนังคนเห็นแก่ตัวนั่น!”

ศุภมณียิ้มเขินๆ “เดี๋ยวพี่เขาก็จะเข้าใจความลำบากใจของคุณแม่ในสักวันค่ะ”

มิณท์รัตน์ เธอน่ะไปเสียได้ก็ดีแล้ว แบบนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลศรีวรรณก็จะเป็นของฉันทั้งหมด

แต่ว่า ตัวเธอไปได้ แต่ไตของเธอ ยังไงก็ต้องเป็นของฉัน!

มิณท์รัตน์ไม่รู้ว่าศุภมณียังคงจ้องจะเอาไตของเธออยู่ ตอนนี้เธอกำลังลากกระเป๋าเดินทางออกจากโรงแรม เตรียมย้ายไปที่คอนโดของธนัท

พอออกจากลิฟต์ โทรศัพท์จากธนัทก็โทรเข้ามาพอดี

“คุณย่าได้ยินว่าเราแต่งงานกันแล้ว ท่านดีใจมาก บอกว่าเย็นนี้จะเตรียมเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านเพื่อฉลอง ทางนั้นสะดวกไหม”

รถที่มิณท์รัตน์เรียกมาถึงแล้ว คนขับช่วยเธอยกกระเป๋าเดินทางใส่ท้ายรถ

เธอเปิดประตูรถพลางพูดว่า “ฉันไม่มีปัญหาค่ะ ตอนนี้กำลังเดินทางไปที่คอนโดบลูซี”

“ได้ครับ” เสียงของธนัทหยุดไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ ไม่กี่วินาทีต่อมาเสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้างั้นตอนหกโมงเย็น ผมจะกลับไปรับคุณนะ”

“ค่ะ”

เวลานี้เพียงพอให้เธอจัดของให้เรียบร้อย แล้วก็นอนพักสักงีบ

หลังจากวางสาย มิณท์รัตน์มองออกไปนอกหน้าต่าง

จนถึงวินาทีนี้ เธอก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เหมือนความจริง

เธอได้เกิดใหม่จริงๆ และยังเปลี่ยนเส้นทางโชคชะตาจากชาติที่แล้วได้อีกด้วย!

ในฝ่ามือ โทรศัพท์สั่นไม่หยุด เป็นพงษ์ที่ส่งข้อความมาหาเธอ

ตั้งแต่ที่เธอบล็อกเบอร์โทรเขา เขาก็ส่งข้อความวีแชทมาหาเธอไม่หยุด ข้อความเสียงหกสิบวินาทีน่าจะส่งมาเป็นร้อยๆ ข้อความแล้ว ยังมีสายโทรเสียงอีกหลายสิบสาย

เธอเลือกที่จะเมินเฉยทั้งหมด

ถ้าไม่ใช่เพราะเก็บเขาไว้ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เธออยากจะบล็อกช่องทางการติดต่อทั้งหมดของเขาจริงๆ

เมื่อมาถึงคอนโดบลูซี โทรศัพท์ของจันทร์จรีก็โทรเข้ามาอีก

มิณท์รัตน์กำลังหาตำแหน่งตามระบบนำทางอยู่ จึงกดตัดสายทิ้งทันที

ปลายสายนั้น จันทร์จรีที่กำลังมาสก์หน้าอยู่โกรธจนดึงแผ่นมาสก์ออกทันที แล้วหันไปโวยวายใส่แคมป์ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ “นางกล้าตัดสายฉัน!”

แคมป์โกรธจนควบคุมไม่อยู่ “คุณจะไปโทรหานางทำไม ปล่อยให้นางไปตายดาบหน้าข้างนอกนั่นแหละ! ผมอยากจะเห็นนักว่าคนที่ไม่แม้แต่งานการดีๆ จะทำ พอไม่มีตระกูลศรีวรรณแล้วจะอยู่รอดได้ยังไง!”

“รอให้นางลำบากจนพอแล้ว เดี๋ยวก็ซมซานกลับมาขอร้องให้เราช่วยเอง ตอนนั้นค่อยให้นางบริจาคไตให้มณี นางไม่กล้าขัดขืนหรอก!”

จันทร์จรีคิดว่ามันก็จริง เลยพยักหน้า “ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้ ไม่ได้เลี้ยงมาข้างกายแต่เล็กก็เลยไม่เป็นพวกเดียวกับเราจริงๆ ด้วย ยังไงมณีก็ดีกว่า ป่วยอยู่แท้ๆ ยังรู้จักให้คนใช้ตุ๋นซุปบำรุงประสาทให้ฉัน”

“ไม่เหมือนมิณท์ รู้จักแต่จะทำให้ฉันโมโห!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป